Blog-History-Of-Yamaha-XSR-Series-800x420
Reviews

ประวัติ XSR Series ความคลาสสิกและโมเดิร์น ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว


youtube embed

   
1

เปิดประวัติมอเตอร์ไซค์ XSR Series ความคลาสสิกและโมเดิร์น ที่ลงตัว

 

     ในช่วงประมาณปี 2010 เป็นต้นไป กระแสความนิยมในการปลุกชีพรถคลาสสิกคันเก่า หรือการปรับแต่งรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิกนั้น เริ่มพัฒนาจนเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นความตรงข้ามกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการออกแบบของรถมอเตอร์ไซค์ในยุคนั้น แต่ตรงกันข้ามกับที่ทาง Yamaha ได้เปิดตัว XSR700 และ XSR900 รถรุ่นใหม่ในแนว “นีโอเรโทร” หรือ “โมเดิร์นคลาสสิก” เมื่อปี 2016

 
2
 

     เส้นทางที่ Yamaha เลือกนั้นถือว่าแตกต่างไปจากคู่แข่ง โดยมีการนำเอาแนวความคิดที่มาจากสุภาษิตของญี่ปุ่นที่ว่า “ออนโคชิชิน” ซึ่งหมายถึง “การศึกษาสิ่งเก่า เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ให้ดีขึ้น” โดย Yamaha ไม่เพียงแต่จะรื้อฟื้นโมเดลที่โดดเด่นจากประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่พวกเขายังให้ความเคารพต่อต้นกำเนิด และในขณะเดียวกันก็สร้างคุณค่าให้สมกับเป็นรถมอเตอร์ไซค์สมัยใหม่อีกด้วย

     รถรุ่นต่างๆ ของ MT Series ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มของ XSR พัฒนามาสู่ XSR Series ที่ให้ความรู้สึกของงานดีไซน์ รูปแบบ และการขับขี่ที่เป็นของตัวเอง เริ่มต้นด้วย XSR700 และ XSR900 ก่อนที่จะเพิ่มเติมมาสู่ XSR155 และ XSR125 โดยในตอนนี้ XSR Series เป็นที่รักและยอมรับจากนักขี่ทั่วโลก ที่ชื่นชอบความคลาสสิกและต้องการความทันสมัยของฟีเจอร์ต่างๆ ในตัวรถ

 

จุดเริ่มต้น : การตีความใหม่ของคำว่า นีโอเรโทร

 
3
 

     ในยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นในช่วงปี 2010 มีผู้คนจำนวนมากที่ชื่นชอบการค้นหา ซ่อมแซม และปรับแต่งรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิก จนกลายเป็นเรื่องที่ปกติมากขึ้นเรื่อยๆ โดยวัฒนธรรมในการฟื้นฟูรถคลาสสิกคันเก่าเหล่านี้ ให้กลับมาโลดแล่นบนท้องถนนนั้นมีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ก็เริ่มปรากฏให้เห็น จากการตีความใหม่ของผู้สร้าง โดยเราจะได้เห็นทั้งรถในแนว คาเฟ่ เรเซอร์, ชอปเปอร์, บ็อบเบอร์ และแนวคัสตอมปรับแต่งเองแบบอื่นๆ

     เหตุใดผู้คนจึงหลงใหลรถในแนวคลาสสิก? Yamaha เชื่อว่าคำตอบอยู่ที่ว่า รถมอเตอร์ไซค์คลาสสิกนั้น ให้อิสระแก่ผู้ขับขี่ ในการเลือกทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างไรบ้าง และก็ถึงเวลาแล้ว ที่ Yamaha จะสร้างมอเตอร์ไซค์ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้คนอย่างแท้จริงอีกครั้ง

 
4
 

     นี่คือสิ่งที่กระตุ้นทีมพัฒนาเป็นอย่างมาก ในความท้าทายสำหรับการสร้างรถมอเตอร์ไซค์เนกเกตในสไตล์นีโอเรโทร ตั้งแต่เริ่มแรก แนวคิดนี้ไม่ใช่การฟื้นฟูรถรุ่นเก่า แต่เป็นการนำเอาเครื่องยนต์ที่ทันสมัย มาใส่ในตัวถังที่มีสไตล์ย้อนยุค จากในอดีตของ Yamaha การผสมผสานระหว่างแชสซีและเครื่องยนต์ คือสิ่งที่กำหนดการขับขี่และประสิทธิภาพของตัวรถ และทางทีมงานมุ่งมั่นที่จะสร้างรถแนวเนกเกต ที่จะมีลักษณะของเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัย แม้ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์ความคลาสสิกก็ตาม แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันจะต้องใช้งานได้ดีด้วย

 
5
 

     MT Series ที่ในขณะนั้นอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยรุ่นอย่าง MT-07 นั้น ได้ทำการติดตั้งเครื่องยนต์ CP2 แบบใหม่ทั้งหมด ส่วน MT-09 ได้ติดตั้งเครื่องยนต์ CP3 ที่ล้ำสมัย ติดตั้งอยู่ในเฟรมอลูมิเนียมหล่อแบบ CF ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดของ Yamaha ซึ่งไม่เพียงแต่ตัวแชสซีที่มีน้ำหนักเบา เพรียวบาง และกะทัดรัดแล้ว แต่มันยังให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ขับเคลื่อนไปด้วยแรงบิดที่น่าตื่นเต้นอีกด้วย

 
6
 

     ปัญหาที่แท้จริงที่จะต้องจัดการกับรถรุ่นใหม่ในแนวนีโอเรโทร (XSR Series) นั้นก็คือ รูปแบบภายนอกและการควบคุมของตัวรถ หลังจากทีมพัฒนาได้เจาะลึกลงไปในแนวคิดนี้ พวกเขาได้ค้นพบว่า สิ่งที่พวกเขาแสวงหานั้น ไม่ได้อยู่ที่คำว่า “วินเทจ” หรือ “คลาสสิก” แต่เป็น “เฮอริเทจ” (มรดก) โดยการศึกษารูปแบบและรูปทรงของบรรดารถแข่งในอดีตของทาง Yamaha อย่างรอบคอบ และถามตัวเองว่าทำไมแต่ละรุ่น จึงมีรูปทรงเป็นอย่างนี้ๆ และทำการค้นหาคำตอบเหล่านั้น

 
7
 

     ในที่สุดก็เห็นได้ชัดว่า ตั้งแต่ตัวถังภายนอก ไปจนถึงส่วนประกอบต่างๆ รถรุ่นเก่าเหล่านี้อัดแน่นไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความเฉลียวฉลาดของนักพัฒนา โดยโมเดลที่พวกเขาพิจารณาอย่างละเอียดนั้นได้แก่ รถมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะคันแรกของ Yamaha นั่นก็คือ XS-1 RZ250 และ 350 ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะรถแข่ง SR400 และ 500 ที่มีความเรียบง่ายมาตลอดระยะเวลา 50 ปี, SRX400 และ 600 ที่สวนกระแสความนิยมของรถในยุคนั้น หรือแม้กระทั่ง Vmax ที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นเอามากๆ สิ่งที่โมเดลต่างๆ เหล่านี้มีเหมือนกันก็คือ ความจริงที่ว่ารถทุกรุ่นต่างก็แสดงให้เห็นถึงฟังก์ชั่นการทำงานและประสิทธิภาพอย่างชัดเจน

 
8
 

     การขับขี่นั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก และเฟรมจะเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมรถมอเตอร์ไซค์ XSR จึงต้องถูกพัฒนามาจาก MT Series  ที่โดดเด่นตรงนี้ แต่มีการออกแบบถังเชื้อเพลิงทรงหยดน้ำ ที่ดูแตกต่างไปจากถังเชื้อเพลิงในรุ่นวินเทจและเรโทรหลายๆ รุ่น

 
9
 

     “เฮอริเทจ” (มรดก) ในกรณีนี้หมายถึงอะไรกันแน่? มีรุ่นหนึ่งที่บอกเป็นนัยสำคัญก็คือ SR ที่มีการออกแบบแสนจะเรียบง่ายและไม่มีอะไรซับซ้อน โดยข้อเท็จจริงเหล่านี้ ทำให้ได้รับความชื่นชมจากนักบิดมาอย่างยาวนาน แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 50 ปีหลังการเปิดตัวก็ตาม การตระหนักรู้ตรงนี้ ทำให้ทีมพัฒนา XSR Series นั้น ได้เป็นอิสระจากพันธนาการของคำว่า “ย้อนยุค” “คลาสสิก” หรือ “วินเทจ” โดยจากการตรวจสอบรถแข่งยุคเก่าของ Yamaha นั้น พบว่ามีการตัดชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออก และยังมีการตกแต่งที่ทนทาน โดยชิ้นส่วนอะลูมิเนียมจะถูกเปิดทิ้งไว้ และทำการเจาะรูเพื่อลดน้ำหนัก นี่คือแนวคิดในการออกแบบบางส่วน ที่ทางทีมงานจะเอามาใช้ใน XSR Series รวมไปถึงมาตรวัดความเร็วแบบทรงกลม ก็ยังชวนให้นึกถึงรถแข่งของ Yamaha ในอดีตอย่าง TD และ YZR

 
10
 

     โดยสรุปแล้ว การออกแบบ XSR Series นั้น ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงข้ามคืน แต่มันเป็นการศึกษาเชิงลึก เกี่ยวกับการพัฒนา ทดลอง และการผลิต และประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกด้วย XJR1300 Racer ที่ออกจำหน่ายในยุโรปเมื่อปี 2015 ในชื่อรุ่นว่า "Sport Heritage" โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสไตล์ของตัวรถ ที่เน้นเส้นแนวนอน ช่องหนีบเข่าที่ลึกในถึงน้ำมัน รูปทรงของเบาะนั่ง ฝาครอบด้านข้าง แฟริ่งไฟหน้า และจุดเชื่อมต่อต่างๆ ของตัวรถ ทำให้มันออกมาตามแนวคิดและความตั้งใจของผู้พัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์

 

ความก้าวหน้าของ XSR Series มรดกที่ได้รับการเปิดเผย

 
11
 

     และสองรุ่นแรกในฐานะของ XSR Series ได้รับการเปิดตัวตามมาอย่างรวดเร็ว โดย XSR700 ในปี 2016 และ XSR900 ในปี 2017 โดย XSR700 นั้น มีพื้นฐานมาจาก MT-07 ใช้โครงหลักที่ทำจากเหล็กที่มี่น้ำหนักเบา เพรียวบาง และกะทัดรัด บวกกับเครื่องยนต์ CP2 -okf 689cc ข้อเหวี่ยง 270 องศา เพื่อจุดระเบิดให้ไม่สม่ำเสมอกัน ทำให้ได้แรงบิดที่น่าตื่นตาตื่นใจ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถูกเปลี่ยนแปลงหลักๆ เลยก็คือ การขับขี่ในสไตล์โมตาร์ดของ MT-07 ได้ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นการขับขี่ในแนวสปอร์ตคลาสสิก โดยการขยายถังน้ำมันเชื้อเพลิงให้ยาวขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนตำแหน่งของแฮนด์ ที่พักเท้า และเบาะนั่ง เพื่อให้มีการโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ทำให้ XSR700 นั้น มีความสนุกสนานในการขับขี่ที่แตกต่างไปจาก MT-07

 
12
 

     ในขณะเดียวกัน XSR900 ที่มีขนาดใหญ่กว่า ได้เปิดตัวโดยใช้แพลตฟอร์มของ MT-09 ในยุคนั้น ด้วยเฟรมอะลูมิเนียมหล่อแบบ CF ที่มีน้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแกร่งสูง บวกกับเครื่องยนต์ CP3 ขนาด 847cc และเช่นเดียวกับ XSR700 เจ้า XSR900 นั้นได้รับการดัดแปลงลักษณะการขับขี่ของตัวรถให้มีความสปอร์ตคลาสสิกเช่นเดียวกัน แต่ยังคงรักษาสมรรถนะอันน่าตื่นเต้นของ MT-09 เอาไว้ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของแรงบิดที่หนักแน่น ซึ่งทั้งหมดนี้จะให้ประสบการณ์ความสนุกในการขับขี่ที่แตกต่างออกไปจากตระกูล MT Series อย่างชัดเจน


13

14
 

     นับตั้งแต่การเปิดตัวตามลำดับ ทั้ง XSR700 และ 900 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังจากนั้น รวมไปถึงการใช้โทนสีใหม่อย่างสีเหลืองและสีดำ อันเป็นเอกลักษณ์ของ YZR ที่ Kenny Roberts ใช้ รวมถึงสีแดง สีดำ และสีทองของ RZs แต่หลังจากนั้นในปี 2020 XSR900 ก็ได้รับการออกแบบใหม่หมดทั้งคันแบบ All New เป็นครั้งแรก

 
15
 

     XSR Series นั้น ได้เติบโตและมีรุ่นใหม่กำเนิดขึ้นในปี 2019 ด้วยการเปิดตัว XSR155 ในประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยใช้พื้นฐานที่มาจาก MT-15 จากนั้นก็ตามด้วย XSR125 ที่มีพื้นฐานมาจาก MT-125 ในยุโรปเมื่อปี 2022 โดยทั้งคู่ใช้แพลตฟอร์มของ MT Series แต่ถ้าเจาะให้ลึกลงไป ทั้ง MT-15 และ MT-125 กลับมีพื้นฐานที่มาจาก R Series ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้ง XSR155 และ XSR125 มันได้รับการสืบทอด DNA ในการควบคุมแบบสปอร์ตนั่นเอง และเครื่องยนต์ทั้งสองรุ่นยังมีการติดตั้งระบบวาล์วแปรผัน VVA ทำให้ได้แรงบิดที่สม่ำเสมอในการไต่ความเร็วทุกๆ ย่าน แม้ว่าเครื่องยนต์จะมีขนาดเล็กก็ตาม


               

ทุกวันนี้ ยังคงมีการค้นพบมรดกของ XSR Series

 
16
 

     ในฐานะที่ XSR900 ได้รับการอัปเดตเต็มรูปแบบในปี 2020 โดยใช้แพลตฟอร์มมาจาก MT-09 ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงการค้นหาที่ลึกซึ้งของทาง Yamaha โดยสะท้อนให้เห็นด้วยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ใหม่ และการออกแบบภายนอก ทำให้สามารถเรียกรุ่นใหม่นี้ว่า มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับรถแนวคลาสสิกคันอื่นๆ ในท้องตลาดปัจจุบัน ตามแนวคิดของโปรเจคท์ “Faster Sons” ของ Yamaha

     ก่อนที่จะมีการร่างภาพออกแบบตัวรถ หรือขึ้นพิมพ์เขียวสำหรับด้านวิศวกรรม ทีมวางแผนผลิตเครื่องยนต์ แชสซี ทีมทดสอบในสนามแข่ง และทีมออกแบบตัวรถ ที่ทำงานร่วมกันต่างระดมความคิด และปักหมุดว่า XSR900 ใหม่นั้น ควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งตัวอย่างชัดเจนก็คือ พวกเขาทำการศึกษาและตรวจสอบรถแข่งในอดีตของทาง Yamaha อย่างเข้มข้น

 
17
 

     ในเขตโทโยโอกะ ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอิวาตะ บ้านเกิดของ Yamaha มีโกดังพิเศษ ที่เก็บเอารถแข่งอันเป็นเอกลักษณ์จากอดีตของ Yamaha ไว้ และมีการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ และทางทีมพัฒนา XSR900 โฉมใหม่ทุกคนนั้น ต่างก็มุ่งหน้าไปยังโกดังแห่งนี้ เพื่อศึกษาและตรวจสอบรถแข่งจำนวนหลายสิบคันอย่างใกล้ชิด ทุกซอกทุกมุม ซึ่งมันเปรียบเสมือนการพยายามก้าวเข้าสู่อดีต เพื่อนำมาพัฒนาสู่รถรุ่นใหม่นั่นเอง

     หลังจากนั้นทางทีมพัฒนาได้เดินทางไปยังยุโรป เพื่อศึกษาวิจัยตลาด XSR พวกเขาเห็นภาพนักบิดนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ โดยมีเท้าทั้งสองข้างวางลงบนพื้นอย่างมั่นคง และใช้สมาร์ทโฟนอยู่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงภาพถ่ายการแข่งขันเก่าๆ นักแข่งเองก็จะมีส้นเท้าทั้งสองข้างที่วางอยู่บนพื้นอย่างชัดเจนเช่นกัน โดยไม่เกี่ยวว่าขนาดเครื่องยนต์หรือสรีระของผู้ขับขี่จะเป็นอย่างไร

 
18
 

     สิ่งนี้เลยนำไปสู่การตัดสินใจในการออกแบบ XSR900 โฉมใหม่ ให้สามารถวางเท้าทั้งสองข้างลงพื้นได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับรถแข่งในอดีต ที่ถือว่าเป็นมรดกตกทอดของ Yamaha มาสู่รถรุ่นนี้ โดยพวกเขาได้นำแบบจำลอง 3 มิติของ MT-09 รุ่นก่อนๆ มาใช้เป็นฐาน และวางบล็อกลงไป แล้วเริ่มแกะสลักตัวรถเพื่อกำหนด ความสูงของเบาะนั่ง ตำแหน่งเบาะนั่ง ตำแหน่งพักเท้า ระยะที่จะเอื้อมถึงแฮนด์ ความโค้งของช่องหนีบเข่าบนถังน้ำมัน และอื่นๆ ซึ่งผ่านการที่ทีมงานทุกคนผลัดกันนั่งบนแบบจำลองนี้ จนได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของ XSR900 โฉมใหม่นั่นเอง

 
19
 

     ขุมพลังสำหรับ XSR900 โฉมใหม่นั้น ถูกนำมาจาก MT-09 ใหม่โดยตรง ซึ่งมีปริมาตรกระบอกสูบที่ใหญ่ขึ้น และฝาสูบที่ออกแบบมาใหม่เพื่อสร้างแรงบิดที่มากขึ้น สิ่งนี้ทำให้เกิดเสียงที่กระหึ่มมากขึ้นในช่วงความเร็วรอบ 7,000 รอบต่อนาที ที่ถือว่าเป็นช่วงความเร็วรอบที่ใช้กันทั่วไปบนท้องถนน เสียงไอดีและไอเสียที่ออกแบบอย่างปราณีตของ MT-09 นั้นยังคงอยู่อย่างชัดเจน ซึ่งถือว่าเป็นเสียงเพลงที่เร้าใจสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ แต่ยังคงเป็นไปตามข้อกำหนดด้านเสียงตามกฎหมาย ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งที่เป็นมรดกของ XSR

     โดยแชสซียังคงอ้างอิงตามเฟรมของ MT-09 แต่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้วางเท้าที่พื้นได้ง่ายขึ้น และให้การควบคุมที่เหมาะสมกับสไตล์ของ XSR900 ซับเฟรมที่รองรับเบาะนั่ง ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ XSR และใช้สวิงอาร์มที่ยาวกว่าจาก Tracer 900 ส่งผลให้ระยะฐานล้อยาวขึ้น 50 มม. โดยการตั้งค่านี้เป็นการเพิ่มความเสถียรในการขับขี่ในทางตรงให้กับ XSR900 รุ่นใหม่ ในขณะที่การปรับแต่งในส่วนอื่นๆ ก็ชวนให้นึกถึงรถแข่งในยุค 80 ทำให้มันมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวเอามากๆ และสำหรับผู้ที่ไม่เคยขี่ XSR Series มาก่อน ก็จะสามารถค้นพบความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรถได้อย่างชัดเจนกับ XSR900 รุ่นใหม่คันนี้

 
20
 

     และจากการศึกษารถแข่งในอดีตอย่างมากมาย ทำให้ตัวรถ XSR Series นั้น ได้รับการออกแบบที่เน้นเส้นสายโดยรวมแบบแนวนอนมากขึ้น และเบาะนั่งถูกจัดวางเยื้องไปทางด้านหลัง รวมไปถึงแชสซี ทั้งหมดนี้จะเน้นการทำดาวน์ฟอร์ซ (แรงกดเพื่อยึดเกาะพื้นถนน เมื่อมีอากาศมาปะทะ) ที่ยอดเยี่ยม ผลลัพธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการรับเอามรดกจากรถแข่ง Yamaha ในอดีตและพัฒนามาสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นในปัจจุบันของ XSR Series

 

ความมุ่งมั่นสู่อนาคตของ XSR Series

 
21
 
     “Faster Sons” ได้กลายเป็นธงหลักประจำการพัฒนา XSR Series โดยประวัติศาสตร์ของ Yamaha Motor ในฐานะบริษัทที่ผลิตรถมอเตอร์ไซค์นั้น ได้ถูกดำเนินคู่ขนานไปกับประวัติศาสตร์ในการแข่งรถ ด้วยความปรารถนาที่หยั่งรากลึกเพื่อจะไปได้เร็วกว่าใครๆ โดยไม่เพียงแต่การปรับปรุงรถมอเตอร์ไซค์ของทางค่ายเท่านั้น แต่ยังมีการผลักดันให้เผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ สู่อนาคตที่ยังไม่มีใครมองเห็น Faster Sons จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณของผู้บุกเบิกรถมอเตอร์ไซค์ Yamaha ที่มีผู้เดินตามรอยเท้าเพื่อสานต่อจิตวิญญาณนั้น

 
22
 

     หัวใจสำคัญของสิ่งนี้ก็คือ ความตั้งใจของทาง Yamaha ที่จะนำเสนอความน่าดึงดูดเหนือการเวลาของการขี่รถมอเตอร์ไซค์ต่อไป ผ่านทาง XSR Series ท่ามกลางไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันนี้ และนี่ไม่ได้หมายถึงการสร้างตัวรถให้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล และไม่ได้หมายถึงการกำหนดความนิยมของตัวรถแนวนี้ให้กับนักบิด แต่เป้าหมายจริงๆ ของ XSR Series นั้นก็คือ นำเสนอแนวทางที่ชัดเจน และจะมีการพัฒนาต่อไปอย่างไม่ลังเล และมอบคุณค่าให้กับนักบิดที่ชื่นชอบรถในแนวทางนี้

     และนอกจากรุ่นใหญ่อย่าง XSR900 หรือ XSR700 แล้ว การที่มีการเปิดตัว XSR155 และ 125 นั้น ก็สื่อถึงการเปิดกว้างกับสิ่งใหม่ๆ ของ XSR Series อย่างชัดเจนด้วย และก็ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็น XSR ในคลาสใหม่ๆ ด้วยก็เป็นได้

 
23
 

     ในขณะที่ทาง Yamaha ได้ “ออกแบบ” รถมอเตอร์ไซค์ XSR Series ที่จะมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตัวรถให้กับผู้ขับขี่นั้น ทางค่ายเองก็ยังสามารถมอบอิสระและความสนุกสนานให้กับนักบิดได้มากขึ้นด้วย มาติดตามการเดินทางสู่อนาคตของ XSR Series ไปพร้อมๆ กันครับ!

     อย่าลืมแอดไลน์ยามาฮ่า @yamahasociety มาเป็นชาวแก๊งเดียวกัน ไม่พลาดทุกเทรนด์ของไบเกอร์ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย!