ส่วนโหมดการขับขี่ D-Mode สามารถปรับได้ถึง 4 โหมด ด้วยกัน โดยจะไล่ระดับความดุดันจากมากสุดไปน้อยสุดแบบ D1 – D4 หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ D4 คือ Rain Mode ที่เพิ่มเข้ามาใหม่นั่นเอง
แน่นอนว่าการที่จะปรับการตอบสนองของคันเร่งตามโหมดต่างๆ ได้ ระบบคันเร่งมันต้องเป็นคันเร่งไฟฟ้าอยู่แล้ว แต่ทว่าในตัว Tracer 9 GT นี้ ได้ยังระบบเซ็นเซอร์ใหม่ Accelerator Position Sensor Grip (APSG) แบบเดียวกับที่ใช้ใน R1M มาติดตั้งให้ซะเลย แถมยังมีระบบอุ่นมือ Heat Grip มาให้ด้วย เผื่อใครจะไปออกทริปหน้าหนาวมือจะได้ไม่แข็ง
ระบบช่วงล่างปรับไฟฟ้า KYB
หัวใจสำคัญที่ทำให้ออกทริปแล้วไม่เหนื่อยก็คือระบบช่วงล่าง โดยเจ้า Yamaha Tracer 9 GT ได้จัดเต็มโช้คอัพไฟฟ้าจาก KYB ทั้งหน้า-หลัง ซึ่งสามารถปรับตั้งค่าได้ 2 ระดับ คือ Sport กับ Touring
โดยด้านหน้าจะเป็นโช้คอัพหัวกลับ Upside Down ระยะยุบตัว 130 มม. ด้านหลัง Mono Shock แทงกลางลำ รับกับสวิงอาร์มอลูมิเนียมน้ำหนักเบา
ระบบเบรกด้านหน้าเป็นจานดิสก์คู่ขนาด 298 มม. พร้อมคาลิเปอร์แบบ Radial Mount และดิสก์เบรกเดี่ยวด้านหลัง ขนาด 245 ม.ม. เสริมด้วยระบบเบรก ABS แบบ Dual Channel ติดตั้งอยู่บนล้อขนาด 17″ รัดด้วยยาง 120/70 ZR17 ที่ด้านหน้า และ 180/55 ZR17 ที่ด้านหลัง
ขุมพลัง CP3 อัปเกรดใหม่ แรงบิดสูงในรอบต่ำ
สำหรับขุมพลังในตระกูล 900cc. ของ Yamaha ยังคงใช้เครื่องยนต์ 3 สูบทรงพลัง CP3 เหมือนกันทุกรุ่น แต่ทว่าใน Tracer 9 GT MY2022 นั้น จะเป็นเครื่องยนต์ CP3 ที่ได้รับการอัปเกรดมาใหม่ 890cc. กำลังเพิ่มขึ้นไปเป็น 119 แรงม้า ที่ 10,000 รอบ/นาที ในขณะที่แรงบิดขยับขึ้นมาเป็น 93 นิวตัน-เมตร ที่ 7,000 รอบ/นาที (รอบมาเร็วขึ้น 1,500 รอบ/นาที) โดยตัวเครื่องมีน้ำหนักที่เบาลงกว่าเดิม 1.7 กก. และผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 เป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนั้นแล้วยังมีการเสริมอ็อพชั่นอย่าง Quick Shifter ที่ครั้งนี้อัปเกรดให้สามารถยัดเกียร์ได้ทั้งขึ้น และลง
ออกทริปทัวร์ริ่ง 300 กม. เอาให้รู้เรื่องกันไป
มาว่ากันที่สมรรถนะการขับขี่ และฟิลลิ่งที่ได้สัมผัสหลังจากที่ได้ลองออกทริป กรุงเทพฯ – เขาใหญ่ กว่า 300 กม. กันเลยดีกว่า แน่นอนว่าในเรื่องของอัตราเร่งตรงนี้คงไม่ต้องมีข้อสงสัย แรงติดมือ มาไวตั้งแต่รอบต่ำ เกียร์ 1, 2, 3 สับลอยได้หมด ดุดัน กระชากมันส์ตามสไตล์ CP3 ความเร็วนิ่งๆ ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำ เดินทางไกลไม่ต้องเค้นรอบสูง
ความเร็วสูงสุดทะลุ 220 กม./ชม. แต่จะมีอาการหน้าเบาให้รู้สึกตั้งแต่ 180 กม./ชม. ขึ้นไป ซึ่งเป็นผลพวงมาจากตัวรถที่เป็นสไตล์หน้าลอย โดยจุดนี้อาจต้องใช้ทักษะในการควบคุม หรือไปติดตั้งชุดกันสะบัดเพิ่มเติมจะช่วยได้มาก แต่ถ้าขี่ด้วยความเร็วคงที่ 160 กม./ชม. ความนิ่งของรถยังอยู่ในเกณฑ์ที่ขี่สบายๆ
ระบบช่วงล่างคือไฮไลท์สำคัญที่ทำให้ทริปนี้มีรอยยิ้ม เป็นเทรเซอร์ที่ขี่สบาย นุ่มนวล แถมมุดมันส์ และคล่องตัวสุดๆ แอบไปร่อนโค้งบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ก็ยังไม่มีอาการเหวอให้ได้รู้สึก ตัวรถมีบาลานซ์ และการยึดเกาะถนนที่ดี แถมสามารถปรับระบบโช้คอัพเป็นโหมด Sport เพิ่มเติมได้ หากคุณคิดว่าสามารถที่จะไปได้เร็วกว่านี้
ท่าทางการนั่ง แรงลมปะทะ เจ้า Tracer 9 GT จัดการให้เรียบร้อย เป็น Sport Touring ที่ขี่สบาย ผ่อนคลายสุดๆ ปรับชิลด์สูงลมปะทะตัวผู้ขี่น้อยมาก การมุดช่วงรถติดก็ทำได้อย่างคล่องตัว เนื่องจากตัวรถมีน้ำหนักที่เบา และมิติที่กระชับ