ความก้าวหน้าของ MT
|
|
หลังจากที่ MT-01 เปิดตัวครั้งแรกในยุโรป แม้ว่าจะสร้างความแปลกใหม่ได้จากบรรดาสื่อมวลชน และได้รับการยกย่องจากกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบ แต่ความเฉพาะตัวที่ค่อนข้างมากของมัน ทำให้ไม่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในตลาดทั่วไปมากนัก ทำให้ทาง Yamaha มองเห็นศักยภาพในแนวคิดเดิมของ MT-01 และพยายามที่จะนำความสนุกสนานของการขับขี่มาสู่ผู้ใช้งานในวงกว้างมากขึ้น เลยนำมาสู่การพัฒนา MT-03 รุ่นแรก ที่เดินตามรอย MT-01 แต่ปรับในเรื่องของเครื่องยนต์มาจากในรุ่น XT660 ที่จะเน้นแรงบิดโดยเฉพาะ ทำให้มันเป็นรถที่ขี่สนุกเอามากๆ ตามแนวการเดินทางแบบสปอร์ต แต่ก็ยังคล่องตัวสำหรับการใช้งานในเมือง
|
|
MT-03 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ตรงกลุ่มเป้าหมาย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักบิดชาวยุโรปเป็นจำนวนมาก โดยมันวางจำหน่ายตั้งแต่ในปี 2006 ถึงปี 2013 แต่ถึงจะประสบความสำเร็จแบบนั้น ทาง Yamaha เองก็ยังไม่หยุดแค่นั้น พวกเขาเดินหน้าพัฒนา MT Series กันต่อ เพื่อจะสร้างมอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ตเนกเกตรูปแบบใหม่ ที่มีน้ำหนักเบา เพรียวบาง และกะทัดรัด พร้อมด้วยประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับความรู้สึกของผู้ขับขี่ ตามปรัชญา Jin-Ki Kanno ของ Yamaha ให้ดีที่สุด
จนนำมาสู่แนวคิดสำหรับโมเดลใหม่อย่าง "Torquey & Agile" (แรงบิดและความคล่องตัว) พร้อมกับเครื่องยนต์ครอสเพลนแบบใหม่ที่จะมีให้เลือกอย่างเครื่องยนต์ 2 สูบที่มีข้อเหวี่ยง 270 องศา และเครื่องยนต์แบบสามสูบ
สำหรับการออกแบบภายนอก แนวคิดก็คือการแสดงประสบการณ์การขับขี่แบบใหม่ ทำให้ตัวรถนั้นมีตำแหน่งการขี่ที่ตั้งตรง โดยมีระยะห่างระหว่างแฮนด์และเบาะนั่งที่สั้นลง รวมไปถึงการออกแบบที่จะเผยให้เห็นองค์ประกอบทางกลไกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งมันได้กลายมาเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับ MT Series รุ่นใหม่ๆ หลังจากนี้
|
|
ในการออกแบบเครื่องยนต์สำหรับ MT Series นั้น แรงบิดถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ตรงกันข้ามกับรถแนวซุปเปอร์สปอร์ต ที่จะเน้นความเพลิดเพลินกับพละกำลังในรอบสูงเป็นหลัก ทางทีมวิศวกรถึงได้มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในช่วงรอบต่ำถึงกลางสำหรับเครื่องยนต์ใหม่เหล่านี้ ซึ่งเป็นย่านความเร็วที่ได้ใช้บ่อยที่สุดแล้วสำหรับการขับขี่บนท้องถนนทั่วไป และยังสามารถควบคุมได้ง่ายในสถานการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย ทั้งหมดนี้คือความสามารถของตัวรถที่ทาง Yamaha ได้ตั้งเป้าไว้นั่นเอง
|
|
|
|
ในขณะที่การพัฒนามาถึงขั้นตอนสุดท้าย เครื่องยนต์แบบ 2 สูบเรียง 700cc และเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ 900cc ก็ได้ถูกติดตั้งลงบน MT-07 และ MT-09 ตามลำดับ โดยมีจุดขายคือรถมอเตอร์ไซค์ที่มีทั้งแรงบิดที่ยอดเยี่ยม และมีการขับขี่ที่คล่องตัว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่มีต้นกำเนิดในญี่ปุ่น ภายใต้สโลแกนสุดเท่ว่า Dark Side of Japan (ด้านมืดของญี่ปุ่น) ที่สื่อความหมายอย่างมีนัยสำคัญเอามากๆ เพราะมันเป็นการนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่กล้าฉีกภาพลักษณ์เดิมๆ ของประเทศญี่ปุ่นออกไป ที่ผู้คนส่วนมากมักจะนึกถึงแต่ด้านสว่างเพียงอย่างเดียว
|
ความหลากหลายของ MT Series
|
|
ความท้าทายใหม่ของ Yamaha ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าสนใจตามมามากมาย โดยมี MT-10 เป็นรุ่นเรือธง ตามมาด้วย MT-09, MT-07, MT-03, MT-25, MT-15 และ MT-125 โดยตั้งแต่ MT-03 ลงมานั้น จะเป็นการเลือกใช้แพลตฟอร์มเครื่องยนต์และแชสซีจาก R-Series แต่ได้รับการพัฒนาตามแนวคิดหลักของตระกูล MT อย่าง Torquey & Agile (แรงบิดที่ทรงพลังและความคล่องตัว) ซึ่งทำให้มันมีคาแรกเตอร์ในการขับขี่ที่แตกต่างกันชัดเจนกับ R-Seires
|
|
ในปี 2021 MT-09 โฉมใหม่แบบ All New ได้ทำการเปิดตัว เพื่อสร้างการขับขี่ที่เน้นแรงบิดอันเข้มข้น แต่ก็ยังต้องให้ผ่านมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้มีการเพิ่มปริมาตรกระบอกสูบของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ได้ทั้งแรงบิดและแรงม้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เสียงของเครื่องยนต์แบบ 3 ลูกสูบ ยังได้รับการพัฒนาให้ส่งเสียงคำรามไปยังหูผู้ขับขี่ได้โดยตรงมากขึ้น ส่งผลให้มันสร้างความตื่นเต้นในการขับขี่ได้ตลอดเวลา
|
|
และ MT-10 ที่ถือว่าเป็นเรือธงของ MT-Seires ได้เปิดตัวครั้งแรกในปี 2015 โดยใช้เครื่องยนต์และแชสซีที่มีพื้นฐานมาจาก YZF-R1 แบบ 4 สูบ แต่ได้รับการออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับแนวคิดที่ต้องการแรงบิดและความคล่องตัว ตามแบบฉบับของรถในซีรี่ย์นี้ ทำให้ MT-10 กลายเป็นรถไฮเปอร์เนกเกตที่สามารถขี่ได้อย่างสนุกสนานทั้งในเมือง ถนนที่คดเคี้ยว หรือทางโล่งๆ ยาวๆ เรียกว่าเอาอยู่หมดจริงๆ
|
|
โดยการออกแบบ MT-10 นั้น ก็ใช้วิธีการที่คล้ายกับ MT-09 และ MT-07 ก่อนหน้านี้ เช่นกันการออกแบบตำแหน่งการขี่ที่ตั้งตรง แต่ในช่วงด้านหน้ารถนั้นจะออกแบบให้สามารถป้องกันลมปะทะได้ดีขึ้น ทำให้ MT-10 นั้นถือว่ามีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจาก MT-09 และ MT-07 ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
|
|
จากนั้น MT-10 ก็ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ภายใต้แนวคิด MT King's Dignity และเปิดตัวในปี 2022 โดยการปรับโฉมใหม่ครั้งนี้ ทำให้มีรูปลักษณ์ที่คู่ควรกับรุ่นพี่ใหญ่สุดของ MT Series รวมไปถึงมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง IMU ที่พัฒนามาเพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ในระดับเดียวกับ YZF-R1 มี รวมไปถึงการออกแบบระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ เพื่อให้ตอบสนองต่อการบิดคันเร่งได้ดียิ่งขึ้น สนุกสนานตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
|
|
อย่างหนึ่งที่ทาง Yamaha พัฒนามาอย่างต่อเนื่องก็คือ เสียงของเครื่องยนต์ ซึ่งทางค่ายได้มอบประสบการณ์ในการฟังเสียงที่น่าพึงพอใจแก่ผู้ขับขี่ พร้อมๆ กับที่จะลดระดับเสียงรบกวนสำหรับบริเวณรอบๆ ข้าง โดยวิธีการนี้มีการใช้เทคโนโลยีที่เกียวกับเสียงอย่างซับซ้อน โดยการใส่ท่ออากาศสามท่อเข้าไป เพื่อให้เสียงเหนียวนำที่แต่ละท่อสร้างขึ้นนั้น แยกกันสะท้อนอย่างกลมกลืมในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน แรงดันเสียงจากแต่ละส่วนได้รับการปรับเพื่อความสมดุล และทำให้เกิดเสียงที่เร้าใจในช่วงความเร็วรอบ 4,000 ถึง 8,000 รอบต่อนาที ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับแรงบิดที่มากเมื่อเร่งความเร็วหรือออกโค้ง เช่นเดียวกับการออกแบบเสียงที่ผู้ขับขี่จะได้ยินนั้น ตะแกรงขยายเสียงได้ถูกวางไว้บนฝาครอบถังทั้งสองด้าน เพื่อเพิ่มเสียงที่สร้างขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ โดยไม่เพียงแต่ส่งเสียงโดยตรงจากช่องระบายของท่อไอดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของท่อต่างๆ ด้วย สิ่งเหล่านี้ได้เน้นยำคุณภาพเสียงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ และปลุกเร้าสร้างความตื่นเต้นในการขับขี่เมื่อรอบเครื่องยนต์ถูกบิดไปจนถึงจุดสูงสุด
ทางด้านการออกแบบ MT-10 โฉมใหม่นั้น ตัวรถได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยใช้แนวคิดในการออกแบบ "The Darkest Diamond" เพื่อเน้นย้ำถึงศักดิ์ศรีและความเป็นเอกลักษณ์ ในฐานะพี่ใหญ่รุ่นเรือธงของ MT Seires โดยวิธีการออกแบบคือ ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก และขัดเกลาคุณภาพที่ดีที่สุดของแพลตฟอร์ม เพื่อทำให้เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเครื่องนั้นโดดเด่น และนับตั้งแต่ MT-10 รุ่นแรก มาจนถึงการออกแบบรุ่นนี้ ที่ถือว่ามีความโดดเด่นเอามากๆ ด้วยเป้าหมายคือการรวบรวมแนวคิดแรงบิดที่ยอดเยี่ยม และความคล่องตัว ทำให้ MT-10 โฉมล่าสุดนี้ แสดงผลลัพธ์ของทุกสิ่งออกมาอย่างชัดเจน
|
|
การออกแบบ MT Series รุ่นต่างๆ นั้น ไม่มีบรรทัดฐานหรือกฎเกณฑ์ตายตัวที่จะต้องยึดถือโดยเฉพาะ เพื่อให้แต่ละรุ่นย่อยมีเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน และมีการออกแบบที่มุ่งเน้นไปที่การแสดงสมรรถนะของตัวรถแต่ละคัน ที่มีคาแรกเตอร์ของเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน แต่ธีมหลักๆ โดยรวมที่เชื่อมโยงกันของแต่ละรุ่นก็คือ แรงบิดที่ยอดเยี่ยม และความคล่องตัว สิ่งนี้คือสายสัมพันธ์ที่ เหนียวแน่นของครอบครัว MT
|