Blog-History-Of-Yamaha-R-Series-800x420
Reviews

ประวัติ R-Series สุดยอดมอเตอร์ไซค์สปอร์ตระดับตำนาน


youtube embed

    
1

 
2


เปิดประวัติมอเตอร์ไซค์ R-Series ที่สุดแห่งสายสปอร์ตระดับตำนาน

 

     สำหรับรถมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ตเต็มรูปแบบนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชื่อของตระกูล R-Series จากทางค่าย Yamaha จะต้องถูกนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ อย่างแน่นอน โดยปัจจุบันถูกนำทัพโดยรุ่นเรือธงอย่าง YZF-R1 และยังมีรุ่นอื่นๆ ที่โดดเด่นอย่างเช่น YZF-R7, R3, R25, R15 และ R125 ซึ่งทุกๆ คันในตระกูลนี้ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อมอบความตื่นเต้นให้กับนักบิดทั่วโลก

     จุดเริ่มต้นของความเข้มข้นแบบสปอร์ตในฉบับ R-Series นั้น ได้นับหนึ่งจากการเปิดตัว YZF-R1 โฉมแรกสุดในปี 1998 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่ง DNA นี้ และนับตั้งแต่นั้นมา R-Series ก็ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำความตื่นเต้นสนุกสนานในการขี่รถแบบสปอร์ตไบค์ มาสู่เหล่านักบิดทุกที่ ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่ไหนก็ตาม ซึ่งเจ้า R-Series นั้น เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดตามปรัชญาในการพัฒนาแบบ Jin-Ki Kanno ของ Yamaha เพื่อรักษาความรู้สึกอันสุดยอดของตัวรถสปอร์ตในซีรี่ย์นี้

     R-Series นั้นนับได้ว่า เป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงมากที่สุดของทางแบรนด์ Yamaha ในประวัติศาสตร์ของซีรี่ย์นี้ ทาง Yamaha ได้เผชิญหน้ากับความท้าทายทางด้านเทคนิคที่ปฏิวัติวงการอย่างมากมาย เช่นเดียวกับความท้าทายทางด้านสไตล์และการออกแบบของตัวรถที่โดดเด่น โดยนับตั้งแต่ก่อตั้ง R-Series มานั้น ผู้พัฒนาก็ได้มุ่งเจาะลึกและเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของนักบิดออกมา มันจะทำให้คุณหลงใหลอยู่ในความสนุกสนานและความตื่นเต้นในทักษะการขี่ของคุณ แบบที่คุณอาจจะไม่รู้ตัวมาก่อนด้วยซ้ำ คุณจะขี่เร็วได้กว่าที่เคยเป็น และแนวคิดดังกล่าวนี้ยังคงขับเคลื่อน R-Series ต่อไปในทุกวันนี้และอนาคตข้างหน้าเช่นกัน

 

จุดเริ่มต้น: R-DNA

 
3

 

     ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 จนถึงทศวรรษ 1990 ถือว่าเป็นยุคของเครื่องยนต์ซุปเปอร์สปอร์ตที่แข็งแกร่ง ด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์อันทรงพลังขนาดมากกว่า 1,000 cc ลงในเฟรมรถและตัวถึง โดยทางผู้ผลิตต่างก็แข่งขันกันเพื่อให้มีรถบิ๊กไบค์ที่มีความเร็วสูงสุดบนท้องถนน ซึ่งถึงแม้ว่าตัวรถจะมีรูปทรงแบบสปอร์ตเต็มตัว แต่มันก็ถูกนำไปใช้ในการขับขี่เชิงท่องเที่ยวด้วย นอกเหนือไปจากในสนามแข่ง โดยสินค้าเรือธงจากทาง Yamaha ในตอนนั้นก็คือ YZF1000R Thunderace โดยมี YZF600R Thundercat นั่นเอง

     ในตอนนั้น ทางทีมพัฒนาของ Yamaha กำลังเตรียมจะสร้างสรรค์โมเดลรถซุปเปอร์สปอร์ตรุ่นต่อไปของทางค่าย แทนที่จะยึดติดกับโปรเจ็กต์ของพวกเขาในอดีต หรือกระแสในตอนนั้น ทางทีมงานพยายามได้พยายามที่จะคิดและกำหนดนิยามใหม่ขึ้นมา ว่ารถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์สปอร์ตนั้นควรเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเขาเลยตัดสินใจเดินหน้าในเส้นทางที่แตกต่างไปจากในรุ่น Thunderace ก่อนหน้านี้ และทำการสร้างเครื่องยนต์ที่เน้นน้ำหนักเบา บาง และมีความกะทัดรัดแทน โดยทั้งสามสิ่งนี้ยังคงเป็นหลักการสำคัญในการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงของทาง Yamaha นับตั้งแต่ถูกก่อตั้งขึ้นมาในปี 1955

 
4

 

     ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย ในช่วงปี 1985 ทาง Yamaha ทำให้โลกของรถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์สปอร์ตตื่นต้ว ด้วยการออกแบบเครื่องยนต์ 4 จังหวะเครื่องแรกของ FZ750 ที่มาในรูปแบบ DOHC 5 วาล์ว พร้อมกับไอดีดาวน์ดราฟท์ ที่ถูกติดตั้งในเฟรมรถ โดยเอียงไปข้างน้า โดยมีจุดประสงค์คือเพื่อเพิ่มความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างผู้ขับขี่และตัวรถ เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง ทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยแนวคิดในการออกแบบเครื่องยนต์และแชสซีให้เป็นส่วนประกอบเดียวกันนี้ เรียกว่า “Genesis” และถือว่าเป็นอุดมคติในการพัฒนาที่ยังคงถ่ายทอดมาเป็นส่วนหนึ่งของรถมอเตอร์ไซค์ Yamaha ในปัจจุบัน

     FZ750 ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของรถซุปเปอร์สปอร์ตที่มีน้ำหนักเบา เพรียวบาง และกะทัดรัด รวมไปถึงมีศักยภาพสูงในสนามแข่ง โดยสามารถคว้าชัยชนะที่ยอดเยี่ยมในการแข่งขัน Daytona 200 ปี 1986 เพียงหนึ่งปีหลังจากเปิดตัวสู่ตลาดเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จที่น่าจดจำมากๆ และในเวลาต่อมาก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นรถเพื่อลงแข่งในคลาสซุปเปอร์ไบค์ควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น FZR750R และ YZF750R

 
5

 

     ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 แนวคิดของทาง Yamaha ที่จะมีสำหรับรถซุปเปอร์สปอร์ตรุ่นถัดไปนั้น จะต้องเป็นรถที่มีน้ำหนักเบา เพรียวบาง และกะทัดรัด พร้อมกับการควบคุม การขับขี่ และการยัดเกาะที่ดีเยี่ยมในตัว โดยวิศวกรที่เป็นผู้นำในโครงการนี้ เคยเป็นผู้พัฒนารถแข่งแบบ 2 จังหวะของทาง Yamaha มาก่อน จึงได้มุ่งเน้นที่จะสร้างโครงสร้างที่มีอิสระทางวิศวกรรมแบบเดียวกับที่รถแข่งแบบ 2 จังหวะจะทำได้ โดยเครื่องยนต์ 4 จังหวะในสมัยนั้น จะทำให้กะทัดรัดก็ถือว่ายากกว่าแบบ 2 จังหวะที่กะทัดรัดโดยธรรมชาติ จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญของทางทีมงานในการพยายามสร้างแชสซีในอุดมคติ เนื่องจากเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะนั้น มีการเรียงเพลาข้อเหวี่ยง เพลาหลัก และเหลาขับเป็นเส้นตรงในแนวนอน ส่งผลให้เครื่องยนต์จะมีความยาวขึ้นอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทางหัวหน้าของโครงการนี้ก็ได้ยืนกรานว่า ทางทีมจะพัฒนาเครื่องยนต์ในรูปแบบอื่นที่จะมีความกะทัดรัดและความแรงในตัวให้ได้

 
6

 

     จึงเป็นที่มาของการพัฒนาและคิดค้นวิธีการจัดเรียงเพลาข้อเหวี่ยง เพลาหลัก และเพลาขับในรูปแบบสามเหลี่ยม เพื่อทำให้ตัวเครื่องนั้นสั้นลง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือมาตรฐานใหม่ในการออกแบบเครื่องยนต์ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญสำหรับรถซุปเปอร์สปอร์ตในยุคนั้น และทางทีมงานยังได้ค้นพบวิธีที่จะแก้ปัญหาทางด้านเทคนิค เพื่อเอาชนะความไม่ลงตัวของระยะฐานล้อที่สั้นและสวิงอาร์มที่ยาว ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ตัวรถมีการควบคุมที่คล่องตัวเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงความเสถียรของแชสซีเมื่อเร่งความเร็ว เบรก และเข้าโค้งได้อีกด้วย

     รูปแบบภายนอกของรถมอเตอร์ไซค์ ยังมีความแตกต่างจากสไตล์เดิมๆ ที่ทั้งยาวและใหญ่ มาสู่การออกแบบที่เพรียวบางกระชับมากขึ้น สะท้อนให้เห็นทั่วทั้งตัวถึงของรถ ตั้งแต่ส่วนหน้าไปจนถึงไฟท้าย โดยเลียนแบบบุคลิกของนักกีฬาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แทนที่จะเป็นเพียงแค่นักเพาะกายที่มีแค่กล้ามเท่านั้น แต่มันจะต้องมีทั้งความแข็งแรงและความคล่องตัวด้วย และอีกส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในครั้งนี้ก็คือ ไฟหน้าแบบตาคู่ที่มีความโดดเด่นและสว่างเอามากๆ ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในภาษาของการออกแบบของ R-Series นั่นเอง

 
7

 

     การใช้เทคโนโลยีจากรถแข่งตอนนั้น ไม่ได้มีไว้เพียงแค่ในสนามแข่งจริงๆ เท่านั้น แต่มันจะต้องเป็นรถซุปเปอร์ไบค์ที่ขับขี่ได้เร็วที่สุดบนท้องถนนจริง ที่มีทั้งทางคดเคียวและทางโล่งๆ แบบยิงยาว ในที่สุดในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ปี 1997 YZF-R1 โฉมแรกสุดก็ได้ทำการเปิดตัวสู่สาธารณะ



การพุ่งทะยานไปข้างหน้าของ 
R1    

 
8


     ทันทีที่มีการเปิดตัว YZF-R1 รุ่นแรก ก็กลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรงเอามากๆ ในวงการมอเตอร์ไซค์ตอนนั้น โดยนักข่าวชาวญี่ปุ่นต่างก็ขนานนามปรากฏการณ์นี้ว่า “R1 Shock” เพราะว่าตัวรถรุ่นนี้ ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรถซุปเปอร์สปอร์ตเดิมๆ ทั้งหมดภายในเวลาชั่วข้ามคืน ด้วยเสถียรภาพและโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบา กะทัดรัด รวมไปถึงสเปคของเครื่องยนต์ ที่ตอบสนองความต้องการของเหล่านัดบิดได้ การผสมผสานระหว่างระบบกันสะเทือนด้านหน้าและด้านหลังที่มีประสิทธิภาพ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือว่าผู้ขับขี่บนท้องถนนไม่เคยสัมผัสมาก่อน

     หลังจากได้มีการอัปเดตเล็กๆ น้อยๆ หลายครั้ง การเปลี่ยนแปลงแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกของ R1 ก็เกิดขึ้นในปี 2003 หกปีหลังจากรุ่นแรกเปิดตัว โดยรุ่นใหม่ล่าสุด (ซึ่งนับได้ว่าเป็นรุ่นที่ 4) นี้ได้มีกำลังเพิ่มขึ้นถึง 20 แรงม้า จากเดิมที่ 152 แรงม้าซึ่งก็ถือว่าทรงพลังมากๆ อยู่แล้วมาเป็น 172 แรงม้า แต่ทาง Yamaha ก็ไม่ได้ทำให้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างไร้จุดมุ่งหมาย โดยเหตุผลหนึ่งก็คือ ทางทีมพัฒนาได้เข้าชมการแข่งขัน Isle of Man TT ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยตลาดไปสู่การวางขายในยุโรป ซึ่งสนามบทภูเขาของรายการ Isle of Man TT นั้น ถือว่าขึ้นชื่อในเรื่องของการเข้าโค้งที่ยาก และพื้นผิวถนนที่คาดเดาไม่ได้ แต่สิ่งที่ทางทีมพัฒนาของ Yamaha ได้เรียนรู้ก็คือ นักแข่งรายการนี้ จะพยายามทำเวลาให้ดีที่สุดในการเร่งความเร็วสูงสุดบนทางตรงนั่นเอง ดังนั้นพวกเขาจึงสรุปว่า ตัวรถ R1 รุ่นใหม่นั้น ต้องการพละกำลังที่มากขึ้น จึงเป็นเป้าหมายของการพัฒนาเพื่อเพิ่มอีก 20 แรงม้าตรงนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำการออกแบบเครื่องยนต์ใหม่ โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพสูงสุด ที่ยังคงจะมีความทนทานในตัวมากๆ ด้วย นำไปสู่การออกแบบกระบอกสูบแบบปิดและก้านสูบแบบแยกส่วนมาใช้เป็นครั้งแรกนั่นเอง

     อย่างไรก็ตาม สำหรับการพัฒนาตรงนี้ อันดับแรกเลยแชสซีรถจะต้องมีความแข็งแกร่งที่เพียงพอ ที่จะรองรับแรงม้าถึง 172 ตัวของขุมกำลังแบบใหม่ ในขณะที่จะต้องรักษาคุณลักษณะการขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของ YZF-R1 ไว้ด้วย ด้วยเหตุนี้เอง เฟรมอะลูมิเนียมแบบ Deltabox ใหม่จึงได้รับการออกแบบขึ้นมา โดยมีความสมดุลระหว่างความแข็งแกร่งตามด้านยาวที่มากขึ้น และลดความแข็งแกร่งตามด้านข้างให้น้อยลง โดยสิ่งนี้เปรียบเทียบได้กับข้อต่อที่แข็งและลำต้นที่อ่อนของก้านไม้ไผ่นั่นเอง

 
9


     โดย YZF-R1 รุ่นที่ 4 มีรูปลักษณ์การออกแบบภายนอกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีบางอย่างที่สืบทอดมาจาก R1 รุ่นแรก โดยจุดเด่นอย่างหนึ่งก็คือ การวางท่อไอเสียไว้ด้านล่าง เพื่อสร้างสมดุลที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นให้กับตัวรถ และทำให้มันดู “เท่” เอามากๆ อีกด้วย ซึ่งถือว่าเจ้า R1 รุ่นที่ 4 คันนี้เป็นการสื่อถึงความสุนทรีย์ทางด้านฟังก์ชั่นและสมรรถนะที่สุดยอด และยังคงมีผู้คนมากมายที่ชื่นชอบรถรุ่นนี้มาจนถึงทุกวันนี้

     ต่อมาในปี 2007 YZF-R1 รุ่นที่ 5 ก็ได้ทำการเปิดตัวพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 4 วาล์ว แทนที่จะเป็นเครื่องยนต์แบบ 5 วาล์ว ด้วยความก้าวหน้าทางวัสดุ ทำให้สามารถนำเอาวาล์วไทเทเนียมที่มีน้ำหนักเบามาใช้ในการผลิตได้ ซึ่งจะช่วยลดน้ำหนักโดยรวมทั้งหมดของตัวรถลง และในปี 2009 R1 รุ่นที่ 6 ก็ได้เปิดตัวพร้อมกับเครื่องยนต์แบบใหม่ทั้งหมด ที่มีเพลาข้อเหวี่ยงแบบ “ครอสเพลน”

 
10

 

     แนวคิดในการพัฒนาตอนนั้นก็คือ “การพลิกหน้าใหม่” ในประวัติศาสตร์ของรถซุปเปอร์สปอร์ต ความสำเร็จหลายฤดูกาลแข่งขัน MotoGP ของ Yamaha ได้มีการนำเอา YZR-M1 และเพลาข้อเหวี่ยงแบบครอสเพลนเป็นหัวใจหลัก โดยมีคุณสมบัติคือลดแรงเฉื่อยในการขับขี่ ทำให้นักบิดรู้สึกสัมผัสได้ถึงการยึดเกาะถนนและการขับเคลื่อนที่ล้อหลังโดยตรงได้มากขึ้น ส่งผลให้เพิ่มความสามารถในการขับขี่โดยตรง โดยทีมที่สร้าง R1 รุ่นที่ 6 นั้น ก็ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมพัฒนารถแข่ง MotoGP ซึ่งได้ทำการถ่ายทอดเทคโนโลยีมากมายจากสนามแข่ง เพื่อพัฒนาเครื่องยนต์แบบครอสเพลนตัวแรกสำหรับรถที่วางขายในท้องตลาด จากเสียงคำรามของเครื่องยนต์แบบครอสเพลนที่จะได้ยินจากในสนามแข่งเท่านั้น ในที่สุดตอนนี้ก็พร้อมแล้วสำหรับนักบิดทั่วไป จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่า เพลาข้อเหวี่ยงแบบครอสเพลนที่พัฒนาขึ้นสำหรับเครื่องยนต์สี่สูบนี้ “เป็นการปฏิวัติครั้งใหม่”

 
11

 

     โดย R1 ในรุ่นที่ 6 นั้น ยังได้รับการออกแบบภายนอกใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับเครื่องยนต์ที่มีการปฏิวัติวงการ โดยมีแนวทางการออกแบบที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยเครื่องยนต์ใหม่นั้นถือว่าเป็นของใหม่และเป็นความลับสำหรับนักบิดทั่วๆ ไปในตอนนั้น แทนที่จะพยายามอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจ ทางผู้ออกแบบเลยเลือกที่จะไม่อธิบายอะไรเลย ด้วยเหตุนี้เองเครื่องยนต์มันจึงถูกซ่อนไว้อย่างจงใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงนี้ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ R1 รุ่นที่ 6 อย่างแท้จริง

 

 
12

 

     และการออกแบบไฟหน้าแบบตาคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของ R1 ก็ได้รับการตีความใหม่เช่นกัน โดยมีไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์คู่วางอยู่ใกล้ตรงกลางช่องรับอากาศด้านหน้า โดยได้แรงบันดาลใจมาจากดวงตาของสัตว์เลื้อยคลาน ที่ไม่ชัดเจนว่าพวกมันกำลังมองไปทางไหน และนอกจากนี้ เพื่อมอบความภูมิใจการเป็นเจ้าของรถซุปเปอร์สปอร์ตระดับเรือธงคันนี้ จึงได้มีการนำเสนอโทนสีใหม่ที่เซอร์ไพร์สเอามากๆ โดยจะมาพร้อมกับตัวถึงสีขาว พร้อมเฟรมรถและสวิงอาร์มสีแดง บอกได้เลยว่ามันทั้งดูมีความหรูและความแรงในตัวจริงๆ

 
13

 
14

 

     หลังจากที่ R1 รุ่นที่ 7 ที่มีการอัปเดต และได้เปิดตัวออกสู่ตลาดในปี 2021 โมเดลรุ่นที่ 8 แบบใหม่ทั้งหมดก็ได้ตามออกมาในปี 2015 โดยรุ่นที่ 8 นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนับตั้งแต่ R1 รุ่นแรกที่มีแนวคิดจะสร้างรถมอเตอร์ไซค์ที่ขี่ได้รวดเร็วที่สุดบนท้องถนน ได้เปลี่ยนไปเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ขี่ได้รวดเร็วที่สุดในสนามแข่ง เพราะในช่วงยุค 2015 นั้น ได้มีจำนวนของนักบิดที่ต้องการนำเอารถซุปเปอร์สปอร์ตของตัวเอง ไปขี่ในสนามแข่งช่วงสุดสัปดาห์เพิ่มมากขึ้น

 
15

 

     แนวคิดสำหรับการออกแบบ R1 รุ่นที่ 8 ใหม่นี้ก็คือ “The Speed Racer” ทำให้มีการพัฒนาเพื่อมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพสำหรับในสนามแข่งเป็นหลัก โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องยนต์มาจาก YZR-M1 MotoGP ในขณะนั้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของประสิทธิภาพและการออกแบบภายนอก โดยทางทีมพัฒนาได้มีการทดสอบขี่เจ้า M1 จริงๆ และก็ใช้สิ่งที่พวกเขาสัมผัสจากประสบการณ์โดยตรง มาสร้างเป็น R1 ในรุ่นที่ 7 โดยไม่เพียงแต่มันจะมีความเร็วอย่างเหลือเชื่อแล้ว แต่มันยังขี่ง่ายอีกด้วย! และเพื่อให้ R1 รุ่นใหม่นี้มีความสมบูรณ์แบบ ทั้งเครื่องยนต์ แชสซี เบรก และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก็ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดอย่างพิถีพิถัน ทำให้กำลังเครื่องยนต์สูงสุดนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 200 แรงม้าเลยทีเดียว

     โดย YZF-R1 รุ่นที่ 8 นั้น เป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งหน่วยวัดแรงเฉื่อย IMU แบบหกแกน เพื่อตรวจสอบการเอียง การหักเห และการหมุนของตัวรถ ตลอดจนการเร่งความเร็วตามแกนในพิกัด XYZ แบบเรียลไทม์ (ปรับตามการขับขี่จริงในขณะนั้น) ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ป้องกันล้อหมุนฟรี ควบคุมการยกล้อหน้า ควบคุมการเบรก และระบบควิกชิพเตอร์ (เปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องกำคลัทช์) ได้เป็นอย่างยอดเยี่ยม โดยนักบิดทดสอบของ Yamaha ได้ทำการทดสอบระบบเหล่านี้เป็นเวลาที่นับไม่ถ้วน เพื่อปรับแต่งระบบอย่างละเอียด จนมาสู่ R1 รุ่นที่ 8 ในที่สุด

 
16

 

     และอีกหนึ่งความโดดเด่นของ R1 รุ่นที่ 8 นั้นก็คือ การออกแบบแอโรไดนามิกด้านหน้า และช่องรับอากาศส่วนกลาง จะมีลักษณะที่เหมือนกับ M1 จากสนามแข่ง ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ของ R1 ได้ถูกย้ายตำแหน่งลงด้านล่าง ทำให้มันดูคล้ายกับรถแข่งพันธุ์แท้มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการออกแบบแอโรไดนามิกรอบๆ คัน ที่จะเน้นการไหลเวียนของอากาศให้มีประสิทธิภาพ ทำให้มันสามารถไต่ความเร็วได้อย่างต่อเนื่องและไหลลื่น และในรุ่นที่ 8 นั้นจะมีท็อปสุดของรุ่นอย่าง YZF-R1M ที่มาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบอิเล็กทรอนิกส์ Öhlins และตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์



การถ่ายทอด
R-DNA


17
 
 

     ไม่นานหลังจากการเปิดตัวของ YZF-R1 รุ่นแรก รถอีกหนึ่งรุ่นอย่าง YZF-R6 ก็ได้เปิดตัวออกมาอย่างน่าตื่นเต้นในปี 1999 โดยมันไม่ได้มีจุดประสงค์ในการเกิดขึ้นมาเพื่อแทนที่ YZF600R Thundercat แต่เป็นการพัฒนาให้เกิดมาเพื่อเป็นคู่แข่งกับ R1 แทนต่างหาก! ด้วยแนวคิดที่ยังคงต้องการมอบความตื่นเต้นให้กับผู้ขับขี่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันออกไปด้วยเครื่องยนต์ 600cc และแชสซีที่เบาะกว่า กะทัดรัดกว่า ทำให้ R6 นั้นได้เปรียบ R1 ในสนามแข่งเมื่อยามที่เข้าและออกโค้ง โดยสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้กำเนิดเจ้า R6 คันนี้ก็คือ ความนิยมในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์สปอร์ตขนาด 600cc ในยุโรป และได้เลื่อนขั้นเป็นการแข่งชิงแชมป์โลกในปี 1999 กับรายการ Supersport World Championship โดยเครื่องยนต์ของ R6 นั้นให้แรงม้าสูงสุดที่ 120 ตัว มาพร้อมกับโครงอะลูมิเนียม Deltabox และมีน้ำหนักตัวแค่เพียง 169 กก. เท่านั้น

     ต่อมาในปี 2003 R6 ได้รับการออกแบบเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด เช่นเดียวกันกับเฟรมอะลูมิเนียนและสวิงอาร์มใหม่ ด้วยกระบวนการหล่อแบบ CF ของ Yamaha ทำให้อะลูมิเนียนที่ได้ไม่เพียงแต่มีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีความบางเบาเอามากๆ อีกด้วย ซึ่งตรงนี้เองเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในสนามของ R6 ได้เป็นอย่างดี


18
 
 

     จากนั้นในปี 2006 R6 รุ่นที่ 3 ก็มาถึง โดยมีการอัปเกรดสมรรถนะของเครื่องยนต์ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก โดยมีการออกแบบกระบอกสูบใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีช่วงชักที่สั้นลง ทำให้มีอัตราการบีบอัดที่สูงขึ้น และมีน้ำหนักของข้อเหวี่ยงที่เบากว่า รวมทั้งการปรับปรุงอย่างอื่นอีกมากมาย ทำให้เพิ่มแรงม้ามาได้ที่ 127 ตัว ซึ่งถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญของ R6 เลยทีเดียว


19
 
 

     จนเดินทางมาถึงในปี 2017 ได้มีการเปิดตัว R6 รุ่นที่ 4 ในขนาด 600 cc และได้รับการออกแบบภายนอกให้มีลักษณะคล้ายๆ กับ R1 ในเวอร์ชั่น 2015 เพื่อเน้นย้ำถึงความเป็นซีรี่ย์เดียวกันให้ชัดเจน


20
 
      

     ขั้นตอนต่อไปสำหรับการถ่ายทอด DNA ของ R-Seires ก็คือการนำเอาสูตรเดียวกันนี้มาใช้กับคลาสที่เล็กกว่าอย่าง YZF-R15 ที่เปิดตัวในปี 2008, R125 ในปี 2009 และ YZF-R25 และ R3 ในปี 2015 โดยทั้งหมดนั้นยังคงมีคอนเซ็ปท์ในการออกแบบที่เหมือนกันคือ ต้องการมอบความตื่นเต้นให้กับผู้ขับขี่ แม้ว่ารถแต่ละรุ่นจะวางขายในตลาดและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย แต่ทุกรุ่นก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นักบิดนั้นมีความสุขสนุกในการขับขี่มอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ต และการออกแบบภายนอกของแต่ละรุ่น ก็สะท้อนถึงจุดยืนที่ชัดเจนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล R-Series


21
 
 

     
     โดยเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ใช้ใน R-Series ปัจจุบันได้แก่ YZF-R125, R15, R25 และ R3 นั้นต่างก็มอบความตื่นเต้นในการขับขี่ให้กับนักบิดทั่วโลก อย่างเช่น R25 และ R3 นั้นจะมาพร้อมกับคอนเซ็ปท์ “ซุปเปอร์ไบค์ที่คุณสามารถขี่ได้ทุกวัน” โดยสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ ไม่ว่าจะมีการพัฒนารุ่นไหนใน R-Series ออกมาก็ตาม แต่ทางทีมงานก็ยังจะยึดเอา R1 เป็นที่ตั้งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสมรรถนะ การเข้าโค้ง และการเบรก


22
 


     และในปี 2021 YZF-R15 รุ่นที่ 4 หรือที่เรียกกันว่าเวอร์ชั่น 4.0 ก็ได้เปิดตัวสู่ท้องถนน และสไตล์การออกแบบก็ชวนให้นึกถึง R1 เอามากๆ เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า LED ช่องรับอากาศรูปตัว M ฯลฯ ในส่วนของฟีเจอร์ต่างๆ นั้น ก็จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 1 ลูกสูบ ระบายความร้อมด้วยหม้อน้ำ พร้อมกับระบบวาล์วแปรผัน VVA ที่ทำให้ตัวรถมีแรงบิดที่ยอดเยี่ยมในรอบต่ำถึงกลาง และก็มีกำลังที่เพียงพอในการขับขี่รอบความเร็วสูง ทำให้ตัวรถนั้นขี่สนุกให้อารมณ์แบบสปอร์ต ในทุกๆ ย่านความเร็ว นอกจากนั้นแล้วยังมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับ Upside Down ระบบแทรคชั่นคอนโทรล และก็ควิกชิพเตอร์ด้วย


 
23


     ในปีเดียวกันกับที่ R15 รุ่นที่ 4 เปิดตัวนั้น YZF-R7 ก็ได้รับการเปิดตัวเช่นกัน และเป็นการส่งสัญญาณสำหรับทิศทางใหม่ของ R-Series โดยมันคือซุปเปอร์สปอร์ตในคลาสกลางที่ไม่เหมือนกับ YZF-R6 ที่จะเน้นการแข่งขันในสนามเป็นหลัก แต่ R7 นั้นถือกำเนิดมาเพื่อช่วยทำให้นักบิดที่มีทักษะและประสบการณ์ที่แตกต่างกันหลายระดับ สามารถดึงเอาศักยภาพในการใช้งานตัวรถออกมาได้ทั้งหมดนั่นเอง รวมไปถึงตัวรถนั้นสามารถใช้งานได้ทั้งในสนามแข่งและขับขี่ในชีวิตประจำวันได้ดีพอๆ กันด้วย

 
 
24


     โดยหัวใจหลักของขุมกำลัง R7 นั้น ก็คือการนำเอาแพลตฟอร์มเครื่องยนต์ CP2 Parallel Twin ของรุ่น MT-07 ที่จุดระเบิดแบบไม่สม่ำเสมอกัน พร้อมกับข้อเหวี่ยง 270 องศา และโครงสร้างหลักแบบท่อเหล็กกล้าที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่งมาก ทั้งหมดนี้ได้รับการพัฒนามาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เป็นรถซุปเปอร์สปอร์ตที่มีน้ำหนักเบา เพรียวบาง และกะทัดรัดนั่นเอง ทำให้ R7 เป็นรถที่สามารถขี่ได้เพลิดเพลินทุกๆ เส้นทาง และเป็นก้าวไปต่อของผู้ที่ต้องการขยับ cc จาก YZF-R25 หรือ R3 ให้มาสัมผัสประสบการณ์ที่ตื่นเต้นในการขับขี่อีกระดับของ R-Series

     ไล่เรียงไปตั้งแต่ YZF-R1, R6 และ R7 ไปจนถึง R3, R25, R15 และ R125 จะพบว่าตัวรถทั้งหมดนั้น มีการปรับปรุงอัปเดตอย่างต่อเนื่องมาตลอด แม้ว่าจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น แต่ว่าต่างก็ถูกใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาอย่างตั้งใจในแต่ละคลาสของรถ เพื่อคำนึงถึงความเหมาะสมที่ลงตัวมากที่สุด และนี่แหละคือหัวใจหลักของ R-Series ที่ยังคงสร้างตื่นเต้นให้กับเหล่านักบิดมาถึงทุกวันนี้

 
 


ความมุ่งมั่นสู่อนาคตของ
R-Series

 
25

 

     “แม้ว่ามันจะบินอยู่ในอากาศ ผมก็จะยังเรียกมันว่า R1 ถ้ามันให้ความตื่นเต้นแบบเดียวกัน” วิศวกรหนึ่งในทีมพัฒนา R1 รุ่นปี 2004 ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ภารกิจเบื้องหลังในการสร้าง R1 และการสร้าง R-Series นั้น โดยรวมแล้วมันคือการมอบความตื่นเต้นในการขับขี่ให้กับนักบิดอย่างแม้จริง หากนับรวมเวลาที่ใช้ในการพัฒนา R1 รุ่นแรกสุดแล้ว R-Series ก็ถือว่าเติบโตและถูกพัฒนามานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยตลอดเวลาหลายทศวรรษ การพัฒนาจากปรัชญา Jin-Ki Kanno ของ Yamaha เพื่อสร้างให้ผู้ใช้และมอเตอร์ไซค์รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเป็น DNA ที่สำคัญมากๆ ของ R-Series ทำให้มันก้าวข้ามกรอบจำกัดความจุเดิมๆ ของเครื่องยนต์ ทำให้แต่ละรุ่นของ R-Series แม้ว่าจะมีขนาด cc ที่ต่างกัน แต่ล้วนแล้วก็ถูกบรรจุเข้าเป็นสมาชิกของ R-Series อย่างทรงเกียรติ โดย R-DNA จะยังคงไหลเวียนผ่านโลโก้ของตัว R ในแต่ละคัน เพื่อมอบความตื่นเต้นให้กับผู้ขับขี่ทุกคน

     ในปัจจุบันนั้น ความต้องการในการลดมลภาวะทางอากาศ (ความเป็นการทางคาร์บอน) ได้กลายเป็นเป้าหมายของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก โดยมีวิธีการต่างๆ ตั้งแต่การใช้ระบบพลังงานไฟฟ้า รวมไปถึงโครงการหน้าในการปฏิวัติเครื่องยนต์สันดาป หลากหลายรูปแบบ แต่อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ผู้คนและยานพาหนะยังคงมีปฏิสัมพันธ์กันอยู่ Yamaha จะยังคงสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีตัวอักษร “R” ต่อไป เนื่องจากนักบิดนั้นเป็นมนุษย์ ที่ย่อมจะปรารถนาความตื่นเต้นในการขับขี่ และ Yamaha เชื่อว่าเป็นหน้าที่ของเราในการเผชิญความท้าทายที่จะตอบสนองความต้องการตรงนี้ และพัฒนาจาก R-DNA ใหม่ๆ ออกมาให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก

     อย่าลืมแอดไลน์ยามาฮ่า @yamahasociety มาเป็นชาวแก๊งเดียวกัน ไม่พลาดทุกเทรนด์ของไบเกอร์ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย!