1
Reviews

ปลายฝนต้นหนาว ดูดาวนอนอุ่น 7 จุดกางเต็นท์ ไม่ไกลเมืองกรุง !!! EP4

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  ตั้งอยู่บนแนวเขา 4 จังหวัด สระบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี  และ นครนายก เป็นเทือกเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่ในระดับความสูง 400-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง พืชพรรณมี 3,000 ชนิด, มีผีเสื้ออยู่กว่า 189 ชนิด, นกป่ามากมายกว่า 350 ชนิดและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 71 ชนิด ซึ่งได้แก่ ช้าง เสือ ชะนี กวาง และหมูป่า พบอยู่ตามทุ่งหญ้ากว้างทั่ว ๆ ไป หลายคนอาจเคยเข้ามาเพื่อท่องเที่ยว มาเพื่อใช้เป็นทางผ่านไปอีกจังหวัด ด้วยเส้นทางที่เต็มไปด้วยโค้งมากมาย อากาศเย็นสบายจนถึงหนาวในบางจุด มันคือสวรรค์ของสองล้อที่ไปได้ในทุกฤดู




































****************** ค่าน้ำมันเดินทาง 300 บาทไปกลับ ค่าเข้าเขาใหญ่ 
นักท่องเที่ยวชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท / คน เด็ก 20 บาท / คน 
นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 400 บาท / คน เด็ก 200 บาท / คน 
รถจักรยาน 20 บาท / คัน ค่ากางเต็นท์ฟรี 
ค่าเช่าเต็นท์ 350 บาท เพิ่มราคาออฟชั่นได้ตามต้องการ หมอน , ผ้าห่ม , ผ้าใบปูพื้น ********

































เส้นทางจากกรุงเทพก็มีให้เลือกออกได้หลายทาง ระยะทางอยู่ที่ 127-143 กิโลเมตรตามแต่เลือก  ส่วนรอบนี้ผมขอเลือกเส้นทางรังสิต-นครนายก  เพราะเป็นทางที่ขับขี่แบบชิลๆได้ดีที่สุด เริ่มต้นจากถนนวิภาวดีเลี้ยวเข้ารังสิต ไล่ตั้งแต่คลอง 1 2 3 ไปเรื่อยๆ ทางตรงๆ ไม่งงอะไร วิ่งมาจนถึงแยกโรงเรียนทหาร นับจากนั้นไปอีก 1 ไฟแดง มาถึงแยกบ้านนา เราก็เลี้ยวซ้ายแล้ววิ่งตรงไปอีก 

หน้าทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจในเรื่องของเสียงท่อไอเสียที่ดังเกินมาตรฐาน ด้วยเหตุที่ว่ามันจะไปรบกวนสัตว์ป่าให้ตกใจ ส่วนรถของเราห่ายห่วง เงียบกริ๊บ (ฮ่าๆๆๆๆๆ) ต่อคิวจ่ายค่าผ่านทางจำนวน .. เรียบร้อยเราก็วิ่งตรงดิ่งเข้ามา ผ่านหน้าศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ไปราว 20 กิโลเมตร จนมาถึงจุดกางเต็นท์ ที่เขาใหญ่นี่มีจุดกางเต็นท์อยู่ 2 จุด คือ ลำตะคอง กับ ผากล้วยไม้ ระยะทางห่างกัน 3 กิโลเมตร 

























ตรงลำตะคองนั้นจะมีแอ่งน้ำให้ลงเล่นได้ พร้อมกับบรรดาลิงและกวางที่มาอาศัยนอนข้างๆเต็นท์เราเหมือนกับเดินทางร่วมทริปมาด้วยกัน ภายในมีที่กางเต็นท์หลายจุดหลายมุม แต่ถึงจะดูว่าใหญ่ขนาดนี้ ช่วงเทศกาลก็ยังเต็มชนิดที่ว่าแทบเอาเสาเต็นท์ต่อกันหลังต่อหลัง ในส่วนของห้องน้ำก็มีอำนวยความสะดวก โดยจัดแยกระหว่างห้องน้ำและห้องอาบน้ำออกจากกัน และจุดล้างจานก็ไปอยู่ที่ด้านหลัง 

หลังจากที่เราเลือกจุดนอนได้เรียบร้อยก็ถึงเวลาอาหาร อันนี้ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าบนนี้เขามีชุดหมูกะทะจำหน่ายเป็นชุดพร้อมเตาและถ่านด้วย ดันมารู้เอาตอนที่จะกลับแล้ว และหากใครที่ไม่ได้เตรียมตัวเรื่องของอาหารค่ำมาหละก็ ให้รีบไปร้านค้าสหกรณ์ตามจุดให้ไว เพราะว่าเขาไม่ได้เปิดบริการตลอดทั้งคืนนะ  !!!!  

หากใครที่ต้องการมานอนดูดาวที่เขาใหญ่แล้วหละก็ แนะนำให้นอนที่จุดกางเต็นท์ลำตะคอง เพราะว่ามพื้นที่โล่งมากกว่า ส่วนจุดกางเต็นท์ผากล้วยไม้นั้นจะมีต้นไม้ใหญ่เยอะทำให้มองดูดาวไม่ค่อยถนัดนัก  ลำตะคองจึงได้รับความนิยมมากกว่า แต่ต้องขอเตือนเพื่อนๆเอาไว้หน่อยเรื่องการวางของไว้นอกเต็นท์โดยเฉพาะอาหารและถุงขยะ เพราะว่าในจังหวะที่เรากำลังนอนบรรดาลิงและกวางจะเข้ามาขุดคุ้ยของเราออกมากระจัดกระจาย 














































เช้าวันใหม่ ไปเหวสุวัต !!!

คว้ากุญแจเตรียมรถเริ่มภารกิจ “เที่ยวให้รู้ ดูให้ครบ” ได้ เริ่มต้นกันที่น้ำตก “เหวสุวัต” อยู่สุดทางถนนเขาใหญ่ วิ่งเลยจากจุดกางเต็นท์ผากล้วยไม้ขึ้นไป 5 กิโลเมตร มีที่จอดรถและร้านอาหารบริการอยู่ที่นี่ด้วย เป็นน้ำตกอีกแห่งที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  เราจะต้องเดินเท้าลงตามขั้นบันไดไปไม่ไกลนัก และด้านบนก็ยังมีจุดถ่ายรูปเซลฟี่ได้จากมุมสูงด้วย  น้ำตกแหวสุวัตเกิดจากห้วยลำตะคองไหลตกผ่านหน้าผาสูงราว 25 เมตร และมีแอ่งน้ำทางด้านล่างเหมาะแก่การเล่นน้ำเป็นอย่างมาก แต่ทางอุทยานแห่งชาติได้มีป้ายประกาศว่าห้ามเล่นน้ำไว้เนื่องจากกลัวอันตรายว่าจะมีน้ำป่าไหลหลากเฉียบพลัน ในฤดูฝนสายน้ำที่ตกลงมาจะเป็นละอองกระจายเต็มไปหมด ทำให้รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย แต่หากมาในฤดูน้ำน้อย จะสามารถเดินลัดเลาะเพื่อเข้าไปยังโพรงถ้ำเล็กๆ ใต้หน้าผาน้ำตกได้ 













































จากนั้นเราก็คว้ารถบิดตามโค้งย้อนกลับมาผ่านจุดกางเต็นท์ขึ้นไป 14 กิโลเมตรจะเจอกับป้ายบอกทางไปจุดชมวิว ผาตรอมใจและผาเดียวดาย ระยะทางอีก 10 กิโลเมตร จากตรงนี้เป็นทางขึ้นเขาชันมากกกกกกก แถมยังเป็นทางโค้งกลับรถอีก ที่แรกผมก็กังวลอยู่ว่ารถออโตเมติคจะขึ้นไหวหรือเปล่า แต่ว่ารถคันที่ผมเอามามันมีดีเหนือธรรมชาติก็ตรงวาล์ว VVA นี่แหละที่ช่วยให้ทางชันกลายเป็นทางสบายไป พอขึ้นมาถึงนี่คุ้มค่ามากเพราะว่าอากาศบนนี้สุโค้ยอย่าบอกใครเชียว










ผาเดียวดาย ไปแล้วไม่โดดเดี่ยว !!!!

พอจอดรถได้ ผมเห็นทางลงไปชมวิวผาเดียวดาย คือทีแรกมันดูเหมือนทางสำรวจป่าชายเลน ก็ยังคิดอยู่ว่าจะเดินไปดูดีไหม แต่ว่ามาถึงตรงนี้แล้วก็เลยขอเดินชมหย่อยละกัน กลายเป็นว่าตรงกลางของทางเดินมันพาเรามาจุดชมวิวแนวเขาแสนสวยงาม แถมตรงนี้เองมีหน้าผายื่นออกมาเรียกว่าเป็นส่วนที่ถ่ายรูปได้สวยและหน้าหวาดเสียวที่สุด ดีนะที่ตัดสินใจเดินมาดู











































ผาตรอมใจ ขึ้นไปแล้วไม่ตรอมตรม !!!

ถัดจากผาตรอมใจ เราขี่รถขึ้นทางชันชั้นชันมาอีกนิด ก็ถึงยอดจุดชมวิว “ผาตรอมใจ” โอ้โห บนนี้แตกตางจากจุดอื่นชัดเจน เพราะมีกองอำนวยการ ทั้งร้านกาแฟ ร้านข้าว (แบบเล็กๆ) และมีป้ายจุดชมวิวแสนสวยงามเป็นพร๊อบประกอบ มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาพักชมมากมาย อากาศตรงนี่ก็ปลอดโปร่งโล่งสบายดีด้วย พักกันยาวๆไปเลย




























นรกแสนสวย น้ำตกช่วยความตื่นตา !!!

จากนั้นเราก็ย้อนกลับลงมาทางเดิม เพื่อไปเที่ยวต่อที่ น้ำตกเหวนรก จากตรงนี้เราต้องขี่รถกันไกลถึง 20 กว่า กม. ไล่เลาะเส้นทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้และธรรมชาติแสนสมบูรณ์  นี่ถ้าใครมาเป็นคู่บอกได้เลยว่าโรแมนติคมาก มาถึงน้ำตกแหวนรก เราจอดรถแล้วต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 800 เมตร ผ่านสะพานข้ามลำธารใหญ่ๆ วิวตรงนี้สวยดี ถ้ายืนรอสักพักจะได้เห็นสัตว์ป่าข้ามน้ำด้วยนะ  พอเดินลึกเข้าไปอีกก็จะเป็นทางปูนยาวๆ จนมาถึงไฮไลท์คือบันไดที่ต้องเดินลงไปชมน้ำตก มันเหมือนกับบันไดหนีไฟแคบและชัน ตรงนี้ต้องระวังให้ดีหน่อย พอลงมาได้บอกเลยครับ คุ้มค่ามาก น้ำตกเหวนรกเป็นน้ำตกจากหน้าผาสูงมาก และน้ำที่ตกลงมาก็ไหลแรงมากด้วยชนิดที่เขาว่าถ้ามาช่วงหน้าฝน ระอองน้ำที่ไหลงมามันแรงจนกระเด็นมาถึงตัวเราเลย  จากตรงนี้ไม่มีทางให้เดินลงไปเล่นน้ำนะ เราได้แค่มาชมเฉยๆ แต่ก็คุ้มค่าที่ได้เห็นของจริง
























































จบจากการชมน้ำตกเหวนรกเราก็วิ่งออกจากเขาใหญ่ลงมาเพื่อเดินทางกลับได้ทันทีเพราะทางออกอยู่ไม่ไกลแล้ว จากนั้นก็ใช้ถนนมิตรภาพนี่แหละกลับสู้กรุงเทพบ้านเรา นับว่าเป็นครั้งแรกของผมกับการมาเที่ยวเขาใหญ่แบบครบๆอย่างนี้ ขาดก็เพียงการเดินป่า ถ้าใครมีเวลาก็ลองมากางเต็นท์นอนสักสองสามวันดูคิดว่าน่าจะเที่ยวได้ครบทุกจุดของเขาใหญ่เลยครับ  แต่ถ้าใครยังไม่หนำใจจะแวะไปเที่ยวต่อเขายายเที่ยงชมกังหันลมก็ได้นะครับ