Blog-Finn-PaknumPo-1200x628
Lifestyle

ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว สัมผัสความฟินน์แบบ 360 องศา เมืองนครสวรรค์ By motobikeworldmag

1



บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด รุกตลาดรถจักรยานยนต์ครอบครัวแบบเต็มพิกัดอีกครั้ง เดินหน้าจัดกิจกรรมขับขี่สุดฟินน์ทั่วทุกภาคของเมืองไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะและความประหยัดของรถจักรยานยนต์ครอบครัวยุคใหม่อย่าง “ยามาฮ่า ฟินน์” ที่มาพร้อมกับดีไซน์พรีเมี่ยมตลอดทั้งคัน พร้อมฟีเจอร์เพิ่มความสะดวกสบายกว่า แรงดี ขับขี่ง่าย และประหยัดน้ำมันด้วยเทคโนโลยีการจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีดที่ออกแบบมาเพื่อรถมีเกียร์โดยเฉพาะ กับโปรเจ็ค “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ด้วยการขับขี่ท่องเที่ยวด้วยการใช้ “น้ำมันเชื้อเพลิงแค่ถังเดียว” เท่านั้น

 

สำหรับกิจกรรม “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” เริ่มประเดิมความฟินน์กันที่ จ.นครสวรรค์ โดยครั้งนี้ได้สื่อมวลชนจาก 6 สำนักมาร่วมฟินน์ ซึ่งหลังจากที่จัดการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ให้กับ “ยามาฮ่า ฟินน์” ที่ใช้ในการเดินทางทั้ง 6 คัน “เต็มถัง” พร้อมกับจดบันทึกตัวเลขระยะทางบนหน้าปัดเรือนไมล์เรียบร้อย (ฟินน์บางคันเป็นรถใหม่แกะกล่องเลขไมล์ 0 และบางคันก็เป็นรถที่ผ่านการใช้งานมาบ้างแล้ว) ขบวนแห่งความฟินน์ก็ตั้งขบวนในเวลาประมาณ 15.00 น. เพื่อออกสตาร์ทกันที่บริเวณ “อุทยานสวรรค์” ที่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของตัวเมืองนครสวรรค์ โดยจุดหมายแรกของทริปนี้อยู่ที่ “วัดศรีอุทุมพร”

 

จากตัวเมืองนครสวรรค์ถึง “วัดศรีอุทุมพร” ระยะทางประมาณ 25 กม. ขบวน “ยามาฮ่า ฟินน์” เดินทางกันมาแบบชิลล์ๆ ด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 80 กม./ชม. ซึ่งเครื่องยนต์สามารถตอบสนองการขับขี่ได้แบบสบายๆ ไม่ต้องเค้นเลย โดยวัดศรีอุทุมพรนี้ถือเป็นสถานที่ที่ชาวนครสวรรค์ให้ความเคารพศรัทธา และมีสังขารไม่เน่าเปื่อยของ หลวงพ่อจ้อย จันทสุวัณโณ อดีตเจ้าอาวาส ผู้ได้รับสมญานามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเมืองปากน้ำโพ ซึ่งดำรงตนสมสมณเพศและเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก สิ่งที่ท่านพูดมักเป็นไปตามนั้นเสมอ จนได้ฉายา “เกจิวาจาสิทธิ์” ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2550 สิริอายุ 94 ปี ทางวัดเก็บรักษาไว้ในโลงแก้ว ประดิษฐานในมณฑป เพื่อให้ลูกศิษย์กราบสักการะกันทุกวัน ซึ่งคณะผู้ขับขี่ “ยามาฮ่า ฟินน์” ในทริปนี้ต่างเข้ากราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง พร้อมทั้งเดินชมความสวยงามของวัดที่มีความสวยงาม มีจุดที่น่าสนใจอยู่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นภายในมณฑปที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัยที่งดงาม, โบสถ์ 2 ชั้น ซึ่งชั้นล่างมี “หนุมานอมพลับพลา” อยู่ด้านหน้าทางเข้า ภายในมีพระประธานสีขาวและภาพเขียนสีที่สวยงามบนเพดาน และมีเสาโบสถ์มากกว่า 100 ต้น, หอกลองหอระฆัง เป็นเรือนไม้สักทั้งหลัง ภายในมีพระพุทธรูปหยกเขียว และหุ่นขี้ผึ้งเกจิอาจารย์ต่างๆ, หอมีดอาคม ภายในมีมีดหมอหนัก 3 ตัน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นต้น

 

หลังจากที่ชื่นชมความงดงามที่วัดศรีอุทุมพรกันจนฟินน์แก่ใจแล้ว ก่อนกลับขบวนแห่งความฟินน์ได้เดินทางไปชมพระอาทิตย์ตกดินหลังเหลี่ยมเขา โดยมีทุ่งหญ้าเป็นโฟร์กราวนด์สะท้อนแสงอาทิตย์ยามอัสดง ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก เป็นเส้นทางสัญจรของชาวบ้านแถวนั้น แต่ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินแบบ Unseen ที่มีความสวยงามและให้ความรู้สึกที่ฟินน์ไม่แพ้สถานที่อื่นๆเช่นกัน ทำให้ผู้ขับขี่เดินทางกลับตัวเมืองปากน้ำโพในช่วงเย็นก่อนค่ำได้อย่างมีความสุขแบบฟินน์ๆได้เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งรวมระยะทางไป-กลับ ในช่วงนี้กว่า 50 กม. แต่เกจ์วัดน้ำมันของ “ยามาฮ่า ฟินน์” ยังคงชี้อยู่ที่จุดสูงสุดเหมือนตอนเติมเต็มถังอยู่เลย!!! และปิดท้ายวันด้วยอาหารเย็นที่ร้าน นายตี๋ ลูกชิ้นปลากราย 3 รส ร้านดังของเมืองปากน้ำโพที่ใครๆ ก็ต้องมาแวะชิม

 

รุ่งเช้าของวันใหม่ “ยามาฮ่า ฟินน์” พร้อมขบวนแห่งความฟินน์เดินทางออกจากที่พักในตัวเมืองกันตั้งแต่เช้า มุ่งหน้าขึ้นสู่ทิศเหนือเพื่อไปเสพกับทัศนีย์ภาพสุดฟินน์บนยอด “เขาหน่อ” ซึ่งมีระยะทางห่างจากตัวเมืองปากน้ำโพออกไปประมาณ 45 กม. เท่านั้น โดยขบวน “ยามาฮ่า ฟินน์” ยังคงเดินทางกันด้วยความเร็วเฉลี่ย 80 กม./ชม. แต่คราวนี้ต้องเจอกับสภาพเส้นทางที่กำลังทำถนนบางช่วงต้องเจอกับเลนสวนทางกัน ทำให้มีโอกาสได้ลองอัตราเร่งของเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ ซึ่งบอกได้เลยว่าเราสามารถแซงรถที่ช้ากว่าได้แบบสบายๆ ด้วยคันเร่งที่ยังมีเหลือในมือโดยไม่ต้องลุ้นให้หวาดเสียวแม้แต่น้อย อีกทั้งระบบกันสะเทือนช่วงล่างก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถซับแรงสั่นสะเทือนจะพื้นผิวที่ขรุขระหรือเป็นลอนคลื่นจากรอยล้อรถบรรทุกได้แบบอยู่หมัด ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเดินทางได้ด้วยความรู้สึกฟินน์ๆ ไม่เหนื่อยหรือเมื่อยล้าจากการขับขี่แบบต่อเนื่องเป็นระยะทางไกลๆ หรือระยะเวลานานๆ

 

 

2

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ด้วยระยะเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ขบวนแห่งความฟินน์ก็มาถึง เขาหน่อ - เขาแก้ว ซึ่งเป็นกลุ่มยอดเขาหินปูนรูปทรงสวยงามแปลกตา สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากถนนพหลโยธิน ช่วง นครสวรรค์ - กำแพงเพชร ที่ตั้งอยู่ใน ต.บ้านแดน อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ โดยบริเวณลานจอดรถผู้มาเยือนจะได้เจอกับฝูงลิงนับร้อยตัวที่จะออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างคึกคักเลยทีเดียว ซึ่งชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นบอกให้คณะเรานำ “ยามาฮ่า ฟินน์” ไปจอดไว้ในกรง เพราะถ้าจอดไว้ด้านนอกเจ้าจ๋อเหล่านี้จะเล่นสนุกกับรถของเราจนไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


จากนั้นขบวนแห่งความฟินน์ก็ได้ไกด์ท้องถิ่นเดินนำหน้าขึ้นสู่ยอดเขาหน่อ โดยมีทางบันไดปูนประมาณ 700 ขั้น และมีความชันในบางช่วงกว่า 60 องศา และในช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดเขาจะต้องปีนบันไดเหล็กอีก 6 ช่วงๆ ละประมาณ 20-30 ขั้น กับความชันเกือบๆ 90 องศา ก่อนที่จะถึงยอดเขาซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่ เพราะสามารถมองทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา ทำให้ความเหนื่อยจากการที่เดินมาเกือบๆ 1 ชั่วโมง หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะนอกจากมุมมองแบบ 360 องศา ที่มีทัศนียภาพที่ตื่นตาตื่นใจแล้ว ลมเย็นๆบนยอดเขา ยังทำให้รู้สึกฟินน์สุดๆอีกด้วย หลังจากที่ฟินน์กันจนเต็มที่แล้ว ขบวนแห่งความฟินน์ก็ขับขี่ “ยามาฮ่า ฟินน์” เดินทางกลับเข้าตัวเมือง เพื่อรับประทานอาหารกลางวันและนั่งเล่นชิลล์ๆ ที่ร้าน S Café & Bistor ซึ่งอยู่บริเวณอุทยานสวรรค์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ในช่วงบ่ายหลังจากที่อิ่มท้องสบายตัวกันเรียบร้อย ขบวนแห่งความฟินน์เดินทางสู่อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของนครสวรรค์ นั่นคือ บึงบอระเพ็ด โดยถือโอกาสขึ้นไปชมวิวตัวเมืองปากน้ำโพกันก่อนที่วัดคีรีวงศ์ ซึ่ง “ยามาฮ่า ฟินน์” ต้องขึ้นเขาที่มีความชันพอสมควร แต่ก็ไม่เป็นปัญหาของรถครอบครัวยุคใหม่รุ่นนี้ เพราะกำลังเครื่องยนต์สามารถไต่ระดับความชันขึ้นได้แบบชิลล์ๆ และในช่วงลงเขาก็ยังได้เอ็นจิ้นเบรกช่วยทำให้การขับขี่ขาลงเต็มไปด้วยความสนุกและปลอดภัย จากนั้นก็ขับขี่ลัดเลาะในตัวเมืองก่อนขี่ข้าม “แม่น้ำปิง” และ “แม่น้ำน่าน” ซึ่งเป็น 2 ใน 4 แม่น้ำก่อนที่จะไปรวมตัวที่ปากน้ำโพก่อนเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


หลังจากเดินทางช่วงสั้นๆระยะทางประมาณ 10 กม. จากตัวเมือง ขบวนแห่งความฟินน์ก็ถึง “บึงบอระเพ็ด” บึงทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเนื้อที่ 132,737 ไร่ อยู่ในท้องที่สามอำเภอของจังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ อ.เมือง อ.ท่าตะโก และ อ.ชุมแสง โดยเมื่อมาถึงเราก็เข้าสู่ อาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงบอระเพ็ดเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวบึงบอระเพ็ด ซึ่งลักษณะอาคารเป็นรูปเรือเอี้ยมจุ๊น ซึ่งเป็นเรือบรรทุกสินค้าในแม่น้ำเจ้าพระยาในอดีต ที่ภายในมีการจัดแสดงพันธุ์ปลาต่างๆ กว่า 100 ชนิด ผู้ชมจะเหมือนเดินชมอยู่ใต้โลกบาดาลกันแบบฟินน์ๆ ก่อนที่จะเอาไปด้านนอกเพื่อเก็บบรรยากาศของ “บึงบอระเพ็ด” ซึ่งตอนนั้นมีนักกีฬาพายเรือของทีมนครสวรรค์กำลังฝึกซ้อมอยู่ ทำให้ได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวปากน้ำโพที่ผูกพันกับบึงทะเลสาบน้ำจืดแห่งนี้ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ปิดท้ายความฟินน์ที่นครสวรรค์กันด้วย ขบวนแห่งความฟินน์ เดินทางเข้าร่วมกิจกรรม “ฟินน์ มวยไทย มาราธอน นอร์ธเทิร์นไฟท์” ซึ่งทำให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศของความฟินน์ในรูปแบบของความเร้าใจกับแม่ไม้มวยไทยซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทยส่งท้ายกิจกรรม “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ครั้งนี้ โดยระยะทางรวมตลอดการเดินทางไปกับ “ยามาฮ่า ฟินน์” ทริปนี้อยู่ที่ 187 กม. และใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปเพียงแค่ 2.65 ลิตร เท่านั้น ซึ่งมีคำนวนหาค่าอัตราการประหยัดน้ำมันแล้วอยู่ที่ 70.56 กม./ลิตร...หรือว่ากันแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ทริปนี้เราจ่ายค่าน้ำมันในการท่องเที่ยวแบบฟินน์ๆ นี้ไปเพียงแค่ 80 บาท เท่านั้นเอง